จังหวัดสุรินทร์
จังหวัดสุรินทร์นั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนาน
มาเกือบ 2,000 ปีแล้ว
ซึ่งดูได้จากหลักฐานการค้นพบว่ามีการตั้งชุมชนของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์
คือยุคโลหะตอนปลาย
ซึ่งดูได้จากการที่พบเครื่องมือเครื่องใช้ที่ใช้เหล็กเป็นส่วนประกอบ
จากสภาพภูมิศาสตร์ของจังหวัดสุรินทร์ซึ่งอยู่ติดกับอาณาจักรของโบราณ
จึงทำให้จังหวัดสุรินทร์นั้นได้รับวัฒนธรรมของขอมมาโดยตลอด
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา แต่หลังจากที่ขอมเสื่อมอำนาจลง
ก็ไม่ปรากฏหลักฐานของชุมชนในดินแดนนี้อีกเลย
ล่วงมาถึงยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย พ.ศ. 2260
จึงปรากฏหลักฐานอยู่ในพงศาวดารอีสานอีกครั้งหนึ่ง
โดยชาวพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งที่รู้จักกันทั่วไปว่า “ส่วย” หรือ “กูย”
ซึ่งชาวพื้นเมืองกลุ่มนี้อยู่อาศัยในแถบเมืองอัตปือแสนแป แคว้นจำปาศักดิ์
ซึ่งขนาดนั้นเป็นของดินแดนไทย
ชาวส่วยหรือกูยนี้เป็นผู้ที่มีความชำนาญด้านการจับช้างป่ามาเลี้ยงไว้ใช้งาน
พากันอพยพข้ามแม่น้ำโขงสู่ฝั่งขวา
เมื่อมาถึงแล้วต่างก็แยกย้ายไปตั้งชุมชนที่เมืองลีง อำเภอจอมพระ
บ้านโคกลำดวน อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ บ้านอัจจะปะนึ่ง อำเภอสังขะ
และบ้านกุดปะไท อำเภอศีขรภูมิ ล่วงจนถึงปี พ.ศ. 2303
ได้มีหัวหน้าชาวกูยสามารถจับช้างเผือกที่แตกโรงมาคือให้แก่ราชสำนัก
และต่อมาก็ได้ส่งส่วยและของป่าให้กับราชสำนักอีกด้วย
จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์และยกบ้านที่ปกครองขึ้นเป็นเมือง ในปี พ.ศ.
2306 หลวงสุรินทร์ภักดีหรือเชียงปุม หัวหน้าหมู่บ้านเมืองที
ได้ขอให้เจ้าเมือง พิมายกราบบังคมทูลขอพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
จากพระเจ้าอยู่หัว พระที่นั่งสุริยามรินทร์ย้ายหมู่บ้านจากบ้านเมืองที
มาตั้งอยู่ที่บริเวณบ้านคูประทาย ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองสุรินทร์ในปัจจุบัน
เนื่องจากเห็นว่าเป็นบริเวณที่มีชัยภูมิเหมาะสม มีกำแพงค่ายคูล้อมรอบ 2
ชั้น
มีน้ำอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การประกอบอาชีพและอยู่อาศัยต่อมาหลวงสุรินทร์ภักดี
ได้กระทำความดีความชอบเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามริ
นทร์
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ยกบ้านคูประทายเป็นเมืองประทายสมันต์และเลื่อน
บรรดาศักดิ์หลวงสุรินทร์ภักดีเป็นพระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวางให้
เป็นเจ้าเมืองปกครอง ในปี พ.ศ. 2329
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เปลี่ยนชื่อเมืองประทายสมันต์เป็น เมืองสุรินทร์ ตามสร้อยบรรดาศักดิ์เจ้าเมือง
จังหวัดสุรินทร์นอกจากจะมีประวัติศาสตร์
ความเป็นมายาวนานแล้ว ยังมีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง
ที่ขึ้นชื่ออย่างมากก็คือช้าง
ซึ่งอย่างที่ทราบกันแล้วว่าบรรพบุราของชาวจังหวัดสุรินทร์นั้นถนัดในเรื่อง
การจับช้างป่ามาใช้งาน
นอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นการทอผ้าไหมที่ได้รับความนิยมไปถึงต่างชาติ
และด้วยเหตุที่เคยตกอยู่ภายใต้อาณาจักรขอมโบราณมาก่อน
จังหวัดสุรินทร์จึงเต็มไปด้วยโบราณสถานประเภทปราสาทมากมายสมดัวคำขวัญที่ว่า
“สุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม ประคำสวย ร่ำรวยปราสาท ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม งามพร้อมวัฒนธรรม”
*เรียบเรียงโดย กินเที่ยวทั่วไทย
**ขอขอบคุณภาพจาก http://pop19-pop.blogspot.com/2011/09/blog-post_7655.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น