วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปราสาทหินพนมรุ้ง

ปราสาทหินพนมรุ้ง




จังหวัดบุรีรัมย์นั้นมีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นปราสาทหินมากมาย ปราสาทหินหนึ่งที่ขึ้นชื่อที่สุดคงจะเป็นที่อื่นไม่ได้นอกจาก “ปราสาทหินพนมรุ้ง” ปราสาทหินพนมรุ้งนี้ตั้งในอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง อยู่ที่บ้านตาเป็ก อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ห่างจากตัวเมืองบุรีรัมย์ลงมาทางทิศใต้ประมาณ 77 กิโลเมตร เดินทางโดยใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 218 สายบุรีรัมย์ - นางรอง เป็นระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 24 สายสีคิ้ว - อุบลราชธานี ไปจนถึงหมู่บ้านตะโก ประมาณ 14 กิโลเมตร แล้วจึงเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2117 ผ่านบ้านตาเป๊ก อำเภอเฉลิมพระเกียรติอีกประมาณ 12 กิโลเมตร ก็จะถึงอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง อีกเส้นทางหนึ่งให้เดินทางโดยใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 219 สายบุรีรัมย์ - ประโคนชัย เป็นระยะทางประมาณ 44 กิโลเมตร ถึงตัวอำเภอประโคนชัย จะเห็นทางแยกที่จะไปอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ซึ่งใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 21 กิโลเมตร โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 2075 และเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2117 ก็จะถึงที่หมาย ถ้าหากไม่ได้นำรถยนต์มาเองก็ให้ใช้บริการรถโดยสารจากขนส่งบุรีรัมย์ ก็ให้ขึ้นรถโดยสารสายบุรีรัมย์ - จันทบุรี พอถึงที่หมู่บ้านตะโก แล้วจึงลงจากรถ จากนั้นจะมีรถสองแถววิ่งไปอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ปราสาทหินพนมรุ้งนี้ตั้งอยู่บนยอดภูเขาไฟที่ดับสนิดแล้ว สูงประมาณ 200 เมตรจากพื้นราบ หรือประมาณ 350 เมตรจากทะเลระดับปานกลาง “พนมรุ้ง” นั้นมาจากภาษาเขมรคำว่า “วนํรุง” แปลว่า “ภูเขาใหญ่” จากหลักฐานที่ค้นพบทำให้ทราบว่าตัวปราสาทหินพนมรุ้งนั้นได้มีการบูรณะก่อ สร้างอย่างต่อเนื่องหลายสมัยด้วยกัน เริ่มตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 ถึงพุทธศตวรรษที่ 17 – 18 ซึ่งแต่ก่อนนั้นปราสาทหินพนมรุ้งนั้นเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย จากจารึกต่างๆ ที่พบพอจะสรุปได้ว่าปราสาทหินพนมรุ้งนั้นได้รับการสถาปนาเทวาลัยถวายพระ อิศวรโดย พระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 3 กษัตริย์แห่งเมืองพระนครประมาณ พ.ศ. 1487-1511 แต่การสร้างในยุคเริ่มแรกนั้นยังไม่ได้เป็นปราสาทใหญ่โตอย่างเช่นปัจจุบัน ครั้งพอถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ราวปี พ.ศ. 1511 - 1544 พระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ได้ทรงอุทิศที่ดินและข้าทาสบริวารแด่เทวสถานพนมรุ้ง ล่วงถึงพุทธศตวรรษที่ 17 นเรนทราทิตย์ เจ้านายแห่งราชวงศ์มหิทรปุระซึ่งเป็นพระญาติกับพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างนครวัด พระองค์ปกครองดินแดนแถบนี้ ได้บูรณะและก่อสร้างปราสาทแห่งนี้ให้ใหญ่โตขึ้น เพื่อถวายแด่องค์พระศิวะเทพเจ้าสูงสุดในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย จึงเปรียบเสมือนเขาไกรราสอันเป็นที่ประทับของพระศิวะ และเป็นศูนย์กลางของจักวาล นอกจากนเรนทราทิตย์จะสร้างเป็นเทวสถานเพื่อถวายแก่องค์พระศิวะแล้วพระองค์ ยังได้ใช้ปราสสาทหินพนมรุ้งนี้เป็นที่บำเพ็ญพรตเป็นโยคี ทว่าเมื่อพระเข้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรขอมได้หันมานับถือพุทธศาสนาลักธิมหายาน ก็ได้ปรับปรุงดัดแปลงให้สถานที่ท่องเที่ยวปราสาทหินพนมรุ้งเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนา โดยแต่เดิมนั้นปราสาทหินพนมรุ้งสร้างขึ้นจากหินทรายสีชมพู

ความมหัศจรรย์ของสถานที่ท่องเที่ยวปราสาท หินพนมรุ้งนี้คือแสงอาทิตย์ที่ขึ้นจะตกนั้นจะตรงกันทั้งประตู 15 บานของปราสาทพร้อมๆ กัน ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นปีละ 4 ครั้งแต่ละครั้งจะมีระยะเวลาดังนี้

                ครั้งที่ 1 ดวงอาทิตย์ตกในวันที่ 5 – 7 มีนาคม เวลา 18.15 – 18.22 น.
                ครั้งที่ 2 ดวงอาทิตย์ขึ้นในวันที่ 2 – 4 เมษายน เวลา 06.05 – 06.12 น.
                ครั้งที่ 3 ดวงอาทิตย์ขึ้นในวันที่ 8 – 10 กันยายน เวลา 05.56 – 06.05 น.
                ครั้งที่ 4 ดวงอาทิตย์ตกในวันที่ 5 – 7 ตุลาคม เวลา 17.50 – 17.57 น.

                ซึ่งเป็นเช่นนี้ทำให้เห็นถึงภูมิปัญญาและอัจฉริยภาพในการผสมผสานเทวศาสตร์ และดาราศาสตร์ในด้านสถาปัตยกรรม ของของโบราณได้เป็นอย่างดี

* เรียบเรียงโดย กินเที่ยวทั่วไทย
**ภาพจาก http://learners.in.th/blog/khuanroen/294995

วัดไตรมิตรวิทยาราม กรุงเทพมหานคร

วัดไตรมิตรวิทยาราม กรุงเทพมหานคร


                วัดที่ประชาชนเดินทางมาเคารพสักการะมากวัดหนึ่งในกรุงเทพฯ นั้นคือวัดไตรมิตรวิทยาราม ตั้ง อยู่ที่ถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย วัดแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่ง ซึ่งเดิมมีชื่อเรียกว่า “วัดสามจีน” จากการตั้งชื่อนี้เข้าใจว่าน่าจะก่อตั้งโดนคนจีน 3 คน เป็นผู้ร่วมก่อสร้างพรอารามเพื่อเป็นวิหารทานบุญ เช่นเดียวกับวัดสามปลื้มหรือวัดจักรวรรดิฯ นั้นเอง ครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2477 พระมหากิ๊ม สุวรรณชาต ซึ่งมีตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสในสมัยนั้นเป็นผู้ริเริ่มการลงมือปรับปรุงวัด ราวๆ ปี พ.ศ.2480 หลังจากได้รับอนุมัติจากมหาเถระสมาคมอนุญาตให้ปรับปรุงแล้วในปี พ.ศ. 2582 ก็ได้มีประชาชน คณะครูและนักเรีนมาร่มกับบูรณะปฏิสังขรวัดนี้ให้ดีขึ้นก่อนจะเปลี่ยนชื่อวัด เสียใหม่จากเดิมวัดสามจีนเป็นวัดไตรมิตรวิทยาราม ซึ่งมีความมายถึงคนจีนที่เป็นเพื่อนหรือมิตรกันสามคนร่วมก่อสร้างขึ้น ครั้งเมื่อปรับปรุงวัดเสร็จแล้วก็มีการสร้างโรงเรียนปริยัติธรรมและโรงเรียน ระดับมัธยมของรัฐบาลอยู่ภายในบริเวณของวัดอีกด้วย

                แหล่งท่องเที่ยวสิ่งที่มีความสำคัญและเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไปของวัดนี้คือ พระสุโขทัยไตรมิตร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองคำขนาดใหย่ที่สุดและได้รับการบันทึกในหนังสือกินเนส บุ๊คออฟเรคคอดร์ ด้วยองค์พระมีขนาดหน้าตักกว้าง กว้าง 3.01 เมตร สูง 3.91 เมตร องค์พระสามารถถอดได้ 9 องค์ จากฐานองค์พระขึ้นไปเนื้อทองบริสุทธิ์ 40 %พระพักตร์มีเนื้อทอง 80 % ส่วนพระเกศมีน้ำหนัก 45 กิโลกรัม เป็นเนื้อทองบริสุทธิ 99.99 % โดยสันนิษฐานกันว่าพระพุทธรูปองคืนี้สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย เป็นพระพุทธรูปแบบปางมารวิชัย เดิมเข้าใจว่าประดาฐานอยู่ที่จังหวัดสุโขทัย ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้โปรดให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท จึงได้ไปอันเชิญ พระพุทธรูปมาจากเมืองเหนือเพื่อนำมาประดิษฐานยังวัดสำคัญ พระพุทธรูปที่เชิญมามีจำนวนมาก ทำให้ดูแลไม่ทั่วถึง ขุนนางผู้หนึ่งจึงแอบเอาปูนไล้พระพุทธรูปทองคำแล้วนำมาไว้ยังวัดที่ตนสร้าง จนได้อันเชิญมาไว้ที่วัดพระยาไกร (วัดโชติการาม) ต่อมาบริษัทอิสท์เอเซียติกได้ขอเช่าที่วัด (ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดร้างแล้ว) เป็นโรงเลื่อยจักร จึงได้อันเชิญไว้ที่ข้างพระเจดีย์และปลูกเพิงสังกะสีมุงเป็นหลังคากั้นไว้ อย่างหยาบ ๆ หลังจากนั้นเป็นเวลาเกือบ 20 ปี เมื่อพระอุโบสถและพระวิหารหลังใหม่สร้างเสร็จ จึงได้อัญเชิญชั้นประดิษฐาน แต่ในระหว่างการเคลื่อนย้ายปูนที่หุ้มองค์พระกะเทาะออก จึงทำให้เห็นองค์พระข้างในเป็นทองคำ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2498 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ใหม่ว่า “พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร”

*เรียบเรียงโดย กินเที่ยวทั่วไทย
**ภาพประกอบจาก http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=698.0

วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง แกงน้ำเคยปลากุ้งสับ แกงส้มปลากดปักษ์ใต้



ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง แกงน้ำเคยปลากุ้งสับ แกงส้มปลากดปักษ์ใต้ 

สวัสดีครับเพื่อนๆ สมาชิกห้อง “รวมพลคนเข้าครัว” และเว็บ “กินเที่ยวทั่วไทย” วันนี้ผมได้นำสูตรการทำกับข้าวของเพื่อนสมาชิกมาให้ได้ลองทำทานอีกแล้วครับ ซึ่งวันนี้เป็นอาหารประเภททานเล่นคือ “ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง” วิธีทำก็ไม่ยากอย่างที่คิด อีก 2 เมนูนั้นเป็นแกงจากเมืองปักษ์ใต้บ้านเราคือ “แกงน้ำเคยปลากุ้งสับ” และ “แกงส้มปลากดปักษ์ใต้” ซึ่งแกงปักษ์ใต้นั้นใครๆ ก็รู้ดีว่ามีรสชาติที่เผ็ด ร้อนและหอมเครื่องเทศซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแกงใต้ โดยเฉพาะ “แกงส้ม” หรือที่เราเรียกกันว่า “แกงเหลือง” (เหลืองขมิ้น)นั้นเป็นแกงที่มีประโยชน์มหาศาล ซึ่งมีผลการวิจัยออกมาว่าแกงส้มนั้นสามารถทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่า

เอาละครับทีนี้เราลองมาดูกันว่าเมนูทั้งสามของทั้งสองท่านนั้นมีวิธีทำอย่างไรบ้าง

ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง

 


เครื่องปรุงประกอบด้วย
1.เส้นใหญ่หรือเส้นหมี่ขาวแช่น้ำให้นิ่มคลุกด้วยกุ้งแห้งฝอย
2.ถั่วงอกใส่ซึ่งนึ่ง

ส่วนประกอบของน้ำราด
1.กุนเชียง
2.เต้าหุ้แข็ง
3.เนื้อหมู+หมูสามชั้น
4.เห็ดหอมแช่น้ำให้นิ่ม
5.ปลาหมึกแช่
6.รากผักชี
7.พริกไทยเม็ดบุบ
8.น้ำตาลปิ๊ป
9.ซีอิ้วขาว
10.ผงปรุงรส
11.กะเทียมกลีบใหญ่ปอกเปลือกไว้ทำกะเทียมเจียว
12.มันหมูไว้เจียวทำกากหมู
13.ไชโป้วสับชนิดหวานผัดกับน้ำมันให้หอม

วิธีทำน้ำราด
ตั้งกะทะเจียวกากหมูให้เหลืองใส่กะเทียมลงเจียว(ใช้กะเทียมกลีบใหญ่ไม่เอาเปลือก)ตั้งขึ้นพักไว้ ใส่เต้าหุ้ที่หั่นไว้ลงทอด พอเหลืองตักขึ้น ใส่เห็ดหอมลงทอดตามด้วยเนื้อหมู+สามชั้นตามด้วยกุนเชียง พอเหลืองตักขึ้นพักไว้

เอาเครื่องทั้งหมดที่ทอดไว้ใส่หม้อ เติมน้ำสะอาดและน้ำแช่เห็ดหอมให้พอท่วมเครื่อง ใส่รากผักชี พริกไทยเม็ดบุบ ซีอิ้วขาว ซีอิ้วดำ น้ำตาล ผงปรุงรส ตั้งไฟให้เดือดช้อนมันที่ลอยขึ้นมาทิ้งด้วยนะคะ ให้น้ำใส เคี่ยวจนเครื้องนุ่ม ใช้ได้

นำเอาเส้น+ถั่วงอกที่นึ่งไว้ใส่จานที่รองด้วยผักกาดหอม ตักน้ำราด โรยต้นหอมผักชี ไชโป้วสับชนิดหวาน กะเทียมเจียวกากหมู พริกไทป่น

ราดด้วยน้ำส้ม/พริกเหลือง+พริกขี้หนูสีแดงปั่นรวมกันใส่น้ำส้มสายชู

ขอขอบคุณสูตรนี้จากคุณแม่ยุ้ย กะ ลูกภีมด้วยครับ

แกงน้ำเคยปลากุ้งสับ



แกงน้ำเคยคล้ายแกงพุงปลาหรือไตปลาแต่ไม่ใช่ เพราะแกงน้ำเคยไม่ใช่แกงไตปลา จะใช้เคย(กะปิ)ที่ทำจากปลา ที่บ้านผมลำปำจังหวัดพัทลุง นิยมใช้ปลาแมวมาทำที่บ้านแม่จะทำเคยปลาไว้ใช้เอง ทำแล้วก็ส่งมาให้ลูกใช้แกงที่กรุงเทพด้วย

วิธีการแกงน้ำเคยคือตั้งน้ำร้อนจนเดือดจัดเอาเคยปลาลงไปต้มจนละลายแล้วกรองเอากากออกน้ำนี่แหละที่เรียกว่า "น้ำเคย" จากนั้นก็เอาน้ำเคยมาตั้งไฟจนเดือดอีกใส่เครื่องแกง

เครื่องแกงก็ประกอบด้วยพริกขี้หนู หอมแดง กระเทียม ข่า ตะไคร้ ขมิ้น พริกไทยเม็ด เกลือไม่ต้องใส่กะปิ เพราะใช้เคยปลาแกงอยู่แล้ว พอเครื่องแกงละลาย ก็ฉีกใบมะกรูดใส่ ปรุงรสด้วยน้ำตาลตโนดหรือน้ำตาลมะพร้าวชิมดู ถ้ายังไม่เค็มก็ใส่เกลือได้รสดีแล้วก็ใส่กุ้งสับหรือหมูสับหรือปลาย่างก็ได้ กินกับไข่ต้มกับผักจะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ครับ พอดีผมมีน้ำเต้า (เวลาคนใต้พูดว่าน้ำเต้าจะหมายถึงฟักทอง) ก็ใส่ไปมีเม็ดมะม่วงอยู่นิดนึงก็ใส่ไป

ขอขอบคุณสูตรนี้จากครัวนิรนาม (นิรนาม นิรันดร จางวางดำ) ด้วยครับ

แกงส้มปลากดปักษ์ใต้


แกงส้มนั้นจริงๆ แล้วภาษาปักษ์ใต้ไม่มีคำว่า "แกงเหลือง" คำว่า "แกงเหลือง" เป็นคำที่คนต่างภาคเรียกแกงส้มปักษ์ใต้ครับ

พริกแกงส้มมีหลายสูตรครับ วันนี้ผมทำแบบง่ายที่สุดมีแค่นี้ครับ
1.พริกสด พริกแห้ง (ใส่เพื่อให้สีเข้มขึ้น)
2.กระเทียม
3.ขมิ้น
4.กะปิ
5.เกลือ (บางสูตรใส่หอมแดงด้วย บางสูตรใส่ตะไคร้ด้วย แล้วแต่ใต้ท้องถิ่นไหน).

วิธีทำ
ตำพริกแกงแล้ว ก็ตั้งน้ำเดือด ใส่พริกแกงลงไป พอละลายแล้ว ก็ใส่ปลา พอปลาสุกปรุงรสด้วย น้ำมะนาว(วันนี้ผมใช้มะนาวอย่างเดียวไม่ได้ใส่มะขามเปียก) เกลือ น้ำตาลปี๊บ รสเผ็ด เค็ม เปรี้ยว ครับ จากนั้นใส่ผัก ผมใส่หน่อไม้ดอง หม้อนี้พิเศษอีกนิด ตอนใกล้เสร็จแล้ว ผมละลาย "เคยปลา"(กะปิที่ทำจากปลาของพื้นเมืองภาคใต้) เป็น "น้ำเคย" ใส่ลงไปด้วย หอมฉุยเลยครับ

ขอขอบคุณสูตรนี้จากครัวนิรนาม (นิรนาม นิรันดร จางวางดำ) ด้วยครับ

ประโยชน์ของการกินกินแกงเหลือง แกงเลียง แกงป่า แกงส้ม

ใครชอบกินแกงเหลือง แกงเลียง แกงป่า แกงส้มนั้นมีเผลสรุปจากงานวิจัยกว่า 7,000 ชิ้น ซึ่ง Research บางเรื่องนานกว่า 10 ปี และใช้เวลาสรุปอีก 5 ปี พบว่าแกงเหลืองซึ่งเป็นภูมิปัญญาของชาวภาคใต้ตั้งแต่ปู่ย่าตายายสามารถทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่า

การวิจัยครั้งนี้นั้นใช้เงินมหาศาลในการวิจัยถ้าใครชอบกิน แกงเหลือง แกงเลียง แกงป่า แกงส้ม (ของดีราคาถูก) ขอแสดงความยินดีด้วยครับคุณมีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยมาก

ในงานประชุมดังกล่าวข้างต้น ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุลนักวิชาการจากสถาบันเดียวกัน ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง ศักยภาพต้านมะเร็งของตำรับอาหารไทย ดร.สมศรี กล่าวว่า ได้ศึกษาเรื่องนำสมุนไพรต่างชนิดมาทำเป็นน้ำพริกแกงต่างๆ ได้ทดลองสารสกัดของน้ำพริกแกง 4 ชนิด ได้แก่
น้ำพริกแกงป่า
แกงเลียง
แกงส้ม
แกงเหลือง
น้ำต้มยำ
นำมาเลี้ยงเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวพบว่าน้ำแกงป่า น้ำแกงเลียงและน้ำแกงส้มมีศักยภาพให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่นในร่างกายได้มากถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่แกงเหลือทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่าเมื่อเทียบกันซึ่งดีกว่าการใช้ยาถึง 2 เท่าสมุนไพรสำคัญในเครื่องแกงน่าจะมาจากกระเทียมและพริกรวมทั้งสมุนไพรอื่นๆ จากงานวิจัยนี้สรุปได้ว่าการบริโภค อาหารที่เป็นสำรับแบบไทยอาทิแกงเลียงกุ้งสด ห่อหมกใบยอ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ข้าวสวยหรือข้าวเหนียวส้มตำใส่ แครอท ไก่ทอดสมุนไพร ต้มยำ จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งสอดรับกับงานวิจัยระดับโลกที่ว่าอาหาร อากาศ อารมณ์ ที่ดี เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนห่างไกลจากมะเร็งได้!
ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง

ขอขอบคุณข้อมูลจากคุณ Somporn Jarusolot ครับ

เรียบเรียงโดย กินเที่ยวทั่วไทย

เห็นไหมครับการทำอาหารนั้นไม่ยากอย่างที่คิดอย่างไงผมของของสูตรสูตรอาหาร ของทั้งสามท่านด้วยครับ เพื่อนๆ ท่านใดอยากเป็นส่วนหนึ่งของเราเชิญได้ที่ห้อง รวมพลคนเข้าครัว หรือแฟนเพจ รวมพลคนเข้าครัว ได้ครับ เรายินดีต้อนรับคุณเสมอ   

ปรางค์กู่ ชัยภูมิ

ปรางค์กู่ ชัยภูมิ


จังหวัดชัยภูมิเป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่ง ที่มีศาสนสถานที่ควรจะไปเคารพสักการะมากมายหนึ่งในนั้นคือ สถานที่ท่องเที่ยว “ปรางค์ กู่” ปรางค์ที่อยู่ในตัวเมืองปรางค์กู่ อยู่ที่บ้านหนองบัว ตำบลในเมือง เขตอำเภอเมือง อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ ๓ กิโลเมตร ศาสนสถานนี้เป็นอโรคยาศาล สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ระหว่าง พ.ศ. 1724 - 1763 ราวพุทธศตวรรษที่ 18 ซึ่งปัจจุบันนี้ ปรางค์กู่เป็นโบราณสถานที่สำคัญ และมีสภาพสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดชัยภูมิ มีแผนผังและลักษณะเช่นเดียวกับปราสาทที่เป็นอโรคยาศาล ซึ่งมักจะชอบสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ตัวปรางค์มีปรางค์ประธานอยู่ตรงกลาง 1 องค์ มีวิหารหรือบรรณาลัยด้านหน้า 1 หลัง ล้อมรอบด้วยกำแพงซึ่งมีโคปุระเฉพาะด้านหน้าทั้งหมด ก่อด้วยศิลาแลงยกเว้นกรอบประตูหน้าต่าง ทับหลัง เสาประดับเป็นหินทราย หันหน้าไปทางทิศตะวันออก นอกกำแพงตรงมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีสระน้ำ 1 สระ ยังคงสภาพสมบูรณ์ดีมาก โดยเฉพาะปรางค์ประธานซึ่งมีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 5 เมตร ย่อมุมไม้สิบสอง ด้านหน้ามีประตูเข้าออกทำเป็นมุขยื่นออกมา ผนังปรางค์อีก 3 ด้านเป็นประตูหลอก เหนือประตูหลอกด้านทิศเหนือยังคงมีทับหลังติดอยู่ จำหลักภาพตรงกลางเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งปางสมาธิเหนือหน้ากาล ซึ่งจับท่อนพวงมาลัยไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ด้านข้างทางซ้ายและขวาจำหลักรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 4 กร กับรูปนางปรัชญาปารมิตา ด้านหน้ามีทับหลังเช่นกัน สันนิษฐานว่าสลักเป็นภาพเดียวกัน แต่ปัจจุบันลบเลือนมาก ที่ช่องประตูหลอกด้านทิศเหนือยังมีพระพุทธรูปศิลาปางสมาธิ ศิลปะแบบทวาราวดี ขนาดสูง 1.75 เมตร หน้าตักกว้าง 7.5 เมตร ประดิษฐานอยู่ 1 องค์ ซึ่งเป็นของที่เคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น นอกจากนี้ยังพบทับหลังและองค์ประกอบสถาปัตยกรรมอื่นๆ อีก

การเดินทางไปท่องเที่ยวปรางค์กู่จากจังหวัดชัยภูมิมาตามทางหลวงหมายเลข 202 ประมาณ 1 กิโลเมตร จะมีทางแยกเลี้ยวขวาเข้าปรางค์กู่เป็นระยะทาง 2 กิโลเมตร

*เรียบเรียงโดย กินเที่ยวทั่วไทย
**ภาพจาก http://www.unseentourthailand.com

อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา

อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา



แหล่งท่องเที่ยวจังหวัดพังงานั้นเป็นจังหวัดที่น่าแหล่งท่องเที่ยวอีกจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ โดยเฉพาะที่ “อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา” นั้นเป็นทะเลที่สวยงามและมีความสงบร่มเย็น สีทะเลออกสีเขียวมรกตสวยงามในแบบของทะเลอันดามัน อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงานนี้คลอบคลุมพื้นที่ซึ่งเป็นป่าชายเลนที่อุดม สมบูรณ์และใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศ โดยนับตั้งแต่เขตอำเภอเมืองจังหวัดพังงา เลียบตามชายฝัง ไปจนถึงอำเภอตะกั่วทุ่ง ซึ่งคิดเป็นปริมาณถึง 80 เปอร์เซ็นของพื้นที่ ที่ประกอบไปด้วย เกาะน้อยใหญ่ มากถึง 42 เกาะ ทั้งนี้ตามเส้นทางที่มุ่งสู่เกาะปันหยีนั้นสามารถพบเห็นภาพเขียนซึ่งมีอายุ อยู่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์หรือมีอายุไม่ต่ำกว่า 3,000 ปีมาแล้วเป็นจำนวนหลายภาพ ในอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงานี้มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่ขึ้นชื่อเช่น เขาตะปู เขาพิงกัน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับโลก จากการที่กองถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องเจมส์บอนด์มาถ่ายทำในปี 2517 ในตอนที่ชื่อว่าเพชฌฆาตปืนทอง
  
กาะตะปู เป็นเขาหินปูนมีอายุประมาณ 250 ล้านปี เนื่องจากเป็นเขาหินปูนทำให้ละลายน้ำได้ง่าย เกาะตะปูจึงมีรูปร่างอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ไม่แต่เพียงเกาะตะปูเท่านั้นที่มีรูปร่างแปลกอย่างที่เห็น เกาะต่างๆ ในจังหวัดพังงานก็มีสภาพไม่ต่างกัน นั้นก็เพราะเกาะเหล่านั้นมีลักษณะเป็นเขาหินปูน เขาพิงกันก็เช่นกัน แต่เดิมเกาะตะปูและเขาพิงกันได้เชื่อมต่ออยู่บนพื้นเดียวกัน แต่เนื่องจากเกิดการเคลื่อนตัวของผิวโลก ทำให้เกิดรอยเลื่อนขนาดใหญ่เป็นแนวพาดผ่านอ่าวพังงาจึงทำให้เกาะตะปู และเขาพิงกันแยกห่างออกจากกันดังเช่นปัจจุบัน รอยเลื่อนนี้เรียกว่ารอยเลื่อนคลองมะลุ่ย




ถ้ำลอด นั้นก็เป็นอีกแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบเป็นอย่างมาก ถ้ำมีขนาดใหญ่ ความยาวประมาณ 50 เมตร เรือสามารถลอดผ่านได้ ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยยื่นออกมาให้ชมอย่างสวยงาม และระหว่างการเดินทางไปยังถ้ำลอดนั้น นักท่องเที่ยวจะผ่านป่าชายเลน ที่นับว่ามีความอุดมสมบูรณ์ผืนหนึ่งของประเทศไทย

เกาะห้อง มีลักษณะเป็นเขาหินปูนเหมือนเช่นกันเกาะที่มีอยู่ทั่วไปในจังหวัดพังงา ในเกาะห้องนั้นมีหินงอกหินย้อยอยู่เต็มไปหมดแลดูมีความสวยงามตามธรรมชาติ และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลักษณะของเกาะนั้นคล้ายห้องหลายๆ ห้องเรียงต่อกันเป็นแถว ภายในบริเวณเต็มไปด้วยพันธุ์พืช และสัตว์ป่าชนิดต่างๆ จำนวนมากนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมความงามบนเกาะได้ โดยการจอดเรือที่หน้าเกาะ และใช้เรือแคนูพายเข้าไปชมภายในถ้ำต่างๆ ที่อยู่ในเกาะ

*เรียบเรียงโดย กินเที่ยวทั่วไทย
***ภาพประกอบจาก http://www.siamfreestyle.com
http://mail.hu.ac.th
http://www.oknation.net/blog/maruko

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

อุทยานแห่งชาติภูจอง-นายอย

อุทยานแห่งชาติภูจอง-นายอย




          นอกจากแก่งสะพือที่มีนักท่องเที่ยวนิยม ไปเที่ยวกันมากแล้ว ที่อำเภออำเภอบุณฑริก อำเภอนาจะหลวย และอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศลาวและประเทศกัมพูชา หรือที่เรียกกันว่า “สามเหลี่ยมมรกต” นั้นยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกเช่นภูจองนายอย ภูจองน้ำซับ ภูจอง ภูจันทร์แดง ภูพลาญสูง ภูพลาญยาว สถานที่ท่องเที่ยวเหล่า นี้นั้นมีความงดงามตามธรรมชาติเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งพื้นป่าของที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาพนมดงรักที่มีภูเขาใหญ่น้อย มากมาย โดยรวมทั้งสิ้นมีพื้นที่ประมาณ 428,750 ไร่ หรือ 686 ตารางกิโลเมตร

                จากการเข้าไปสำรวจของกรมป่าไม้พบว่าป่าแห่งนี้นั้นอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วย พรรณไม้และสัตว์ป่านานาชนิด และจากการสำรวจในครั้งนั้น วันที่ 1 มิถุนายน 2530 สถานที่แห่งนี้ได้ถูกจัดตั้งให้เป็นอุทยานแห่งชาติชื่อ “อุทยานแห่งชาติภูจอง-นายอย” นับได้ว่าเป็นอุทบายแห่งชาติลำกับที่ 53 ของประเทศไทย

                ลักษณะโดยทั่วไปของอุทยานแห่งชาติภูจอง-นายอยนั้น เป็นเทือกเขาใหญ่ซึ่งมีแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของจังหวัดอุบราชธานี สภาพป่าเป็นป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง เบญจพรรณ และป่าเต็งรัง มีพรรณไม้ขึ้นอยู่หนาแน่อุดมสมบูรณ์ ดินนั้นส่วนมากจะเป็นดินลูกรังปะปนกับหินปูน มีสถานที่ท่องเที่ยวนา สนใจอยู่หลายแห่งเช่นแก่งลำดวน ภูดินดาษซึ่งเป็นจุดชมวิวบนหน้าผาสูงสามารถมองเห็นทัศนียภาพของสามประเทศที่ อยู่เบื้อล่างได้ ในอุทยานก็มีน้ำตกอยู่ไม่น้อยเช่น น้ำตกห้วยหลวง (ถ้ำบักเตว) น้ำตกจุ่มจิ๋ม หรือน้ำตกประโดนลออ น้ำตกห้วยหลวง น้ำตกเกิ้งแม่พอง ตลอดรวมไปถึงแก่งศิลาทิพย์ แก่งสามพันปี และแก่งกะเลา

                นอกจากนี้ทางอุทยานยังได้จัดที่พักไว้ให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนที่อุทยาน ทั้งบ้านพักและจุดกางเต็นท์ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่สนจะเข้าพักจะต้องติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติก่อน

*เรียบเรียงโดย กินเที่ยวทั่วไทย
**ภาพประกอบจาก http://bangkok-guide.z-xxl.com/reviews-resorthotel/nationalpark/8538.html
http://lib12.kku.ac.th/e-san/?View=entry&EntryID=373

ภูแก้วแอดเวนเจอร์พาร์ค

ภูแก้วแอดเวนเจอร์พาร์ค





ท่ามกลางสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติในจังหวัดเพชรบูรณ์นั้น เขาค้อนับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวไปอันดับหนึ่ง เพราะนอกจากจะมีบรรยากาศทางธรรมชาติที่น่าสัมผัสยิ่งแล้ว นักท่องเที่ยวสามารถ เล่นกิจกรรมต่างๆ นานาได้ที่ “ภูแก้วแอดเวนเจอร์พาร์ค” หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ศูนย์กิจกรรมผจญภัยกลางแจ้ง (Soft Adventure) เป็นสถานที่ที่รวบรวมเอากิจกรรมกลางแจ้งที่สนุกและท้าทายเอาไว้ให้แด่นักท่องเที่ยวที่ ชอบกิจกรรมแนวนี้ ไม่ว่าจะเป็น การขึ้นกระเช้าที่มีความยาวกว่า 150 เมตรที่เบื้องล่างเป็นสายน้ำ ,ไต่ยอดไม้ฐานเชือกที่เป็นการผจญภัยในรูปแบบใหม่ 7 ฐาน ซึ่งขึงกันไปมาระหว่างยอดไม้ต่างๆ ,ล่องแก่งน้ำตก ,รถเลื่อนความเร็วสูงซึ่งกิจกรรมนี้เป็นแนวคิดที่ได้มาจากการเล่นรถเครื่อง ของชาวม้งทางภาคเหนือของไทย ที่ผสมผสานเข้ากับการแข่งรถในรูปแบบของ Go Cart แล่นไหลลงตามแนวไหล่เขาที่สูงประมาณ 700 เมตร, โรยตัวสูงจากหอที่มีความสูง 34 ฟุต ผ่านแผ่นผากว่าชัน 90 องศา และการโรยตัวยุทธวิธีแบบหน่วย S.W.A.T ,โล้ชิงช้าจากระดับความสูง 20 ฟุตทิ้งตัวลงมาในอากาศ,พายเรือแคนน้ำ,กิจกรรมทุ่นกระโดดลอยตัวกลางน้ำ ฯลฯ กิจกรรมทั้งหมดนี้มีการรับรองความปลอดภัยจากสถานที่ตามมาตรฐาน ภายในศูนย์นั้นยังมีบ้านพักตากอากาศท่ามกลางความสวยงามและสงบของธรรมชาติอีก ด้วย

                นักท่องเที่ยวที่ สนใจเดินทางไปภูแก้วแอดเวนเจอร์พาร์คนั้นสามารถเดินทางไปตามหลวงหมายเลข 12 ถนนพิษณุโลก-หล่มสัก ตำบลแคมป์สน อำเภอเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ เลยจากสามแยกทางเข้าไปยังเขาค้อประมาณ 5 กิโลเมตร มีกิจกรรมกลางแจ้ง รีสอร์ตที่พัก และโรงแรมเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ เพชรบูรณ์ 0-5675-0056-7, กรุงเทพ 0 2551-9304จำนวนห้องพัก มีห้องพักในสไตล์โรงแรม และบ้านพักรีสอร์ท หลังขนาด 2 คน ขึ้นไป ถึง 30 คนอัตราราคาห้องพัก 2,200 - 20,000 บาท

*เรียบเรียงโดย กินเที่ยวทั่วไทย
**ภาพประกอบโดย http://www.anywheremagazine.com

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ขนมจีนน้ำยาขมิ้นปลาดอรี ขนมผักกาด สับปะรดต้มซี่โครงหมูอ่อน



ขนมจีนน้ำยาขมิ้นปลาดอรี ขนมผักกาด สับปะรดต้มซี่โครงหมูอ่อน

สวัสดีสมาชิก “กินเที่ยวทั่วไทย” และ “รวมพลคนเข้าครัว” เช่นเดิมครับ วันนี้ผมมาแนะนำสูตรอาหารของสมาชิก “ห้องรวมพลคนเข้าครัว” ทั้งสามเมนูนั้นก็คือขนมจีนน้ำยาขมิ้นปลาดอรี ขนมผักกาด สับปะรดต้มซี่โครงหมูอ่อน ดยทั้งสามสูตรมาจากสมาชิกทั้งสามท่านคือคุณThanyarat Bhalakula คุณSeaangel Nicky และคุณต้มยำทำครัว เพียงลำพัง เป็นเมนูที่ดูเหมือนจะยุ่งยากแต่ไม่ยุ่งยากเลยครับ อีกทั้งเป็นเมนูที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเป็นยอ่างมากตั้งแต่ปลาดอรีหรือที่เรารู้จักกันดีว่าปลาสวายนั้นละครับ ซึ่งก็มีผลทางการวิจัยออกมาแล้วว่ามีโอเมก้า 3 มากกว่าปลาทะเลบางชนิดเสียอีก หัวไชเท้าหรือผักกาดนั้นในตำรายาพื้นบ้านอินเดียแนะว่า เมื่อทานแล้วจะช่วยให้นอนหลับรวมถึงแก้โรคประสาท ทว่าทางด้านวงการแพทย์แผนจีนมองว่า หัวไช้เท้าอยู่ในกลุ่มหยาง (yang) คือเป็นอาหารร้อนจึงไม่ควรทานเวลามีไข้ ส่วนในวัฒนธรรมการกินอย่างอาหารญี่ปุ่นนั้นก็นิยมนำหัวไช้เท้าดิบมาขูดฝอยลงในซีอิ๊ว ใช้เป็นน้ำจิ้ม เพราะชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าช่วยกระตุ้นน้ำย่อย ส่วนประโยชน์ของสับปะรดนั้นก็มีมากมายหลากหลายซึ่งคุณต้มยำทำครัว เพียงลำพังได้เขียนเอาไว้ให้ได้อ่านแล้ว
เอาละครับตอนนี้เราลองไปดูซิว่าอาหาร 3 เมนู จาก 3 ท่านนั้นมีส่วนประกอบและวิธีทำอย่างไรบ้าง

ขนมจีนน้ำยาขมิ้นปลาดอรี




ส่วนประกอบของขนมจีนน้ำยาขมิ้นปลาดอรี
1.น้ำพริกแกงส้มใต้ 200 กรัม
2.น้ำพริกแกงเผ็ดใต้ 100 กรัม
3.เนื้อปลาแพนกาเซียสดอรี่ 2 กิโล
4.กระเทียม 100 กรัม
5.หอมแดง 150 กรัม
6.ตะไคร้อ่อน 10 ต้น
7.ใบมะกรูด 15 - 20 ใบ
8.ขมิ้น 1 ท่อนขนาดประมาณ 1x3 นิ้ว
9.ขิง 1 ท่อนขนาดประมาณ 1x2 นิ้ว
10.ข่า 1 ท่อนขนาดประมาณ 1x3 นิ้ว
11.กะปิหอม 3 ช้อนโต๊ะ
12.เกลือป่น 1 ช้อนชา
13.พริกไทยดำบด 1 ช้อนโต๊ะ
14.น้ำปลาแท้ 3 ช้อนโต๊ะ
15.น้ำมันพืช 3-5 ช้อนโต๊ะ
16.น้ำ 7 ลิตร

ผักแนม
1.ถั่วฝักยาว
2.กะหล่ำปลี
3.แตงร้าน
4.มะเขือเทศ
5.แครอท
6.ถั่วพู
7.ยอดใบมะกอก
8.สะระแหน่
(ผักแนมแล้วแต่ใครชอบผักอะไรค่ะ อยากกินผักจานละหลาย ๆ สี หลายรสสัมผัสและรสชาติค่ะ)

วิธีทำขนมจีนน้ำยาขมิ้นปลาดอรี
1.นำกระเทียม,หอมแดง,ขมิ้น,ขิง,ข่า,ตะไคร้,ใบมะกรูดปั่นให้ละเอียดพร้อมกะปิและน้ำบางส่วน
2.ล้างเนื้อปลาดอรีผึ่งให้สะเด็ดน้ำ
3.ใส่น้ำมันพืชลงในกะทะ เมื่อร้อนดีแล้ว ใส่เนื้อปลาลงไป โรยพริกไทยดำบด รอให้เนื้อปลาเริ่มแห้งและมีสีเหลืองอ่อน คลุกเคล้าเนื้อปลาให้เข้ากัน ยีให้ละเอียดฟู ใส่น้ำพริกแกงลงไป ผัดให้เข้ากันดีและหอม (ถ้าติดกะทะเติมน้ำมันพืชนิดหน่อย)
4.ตักใส่หม้อ เติมน้ำบางส่วนลงในกะทะ ขูดเนื้อปลาและเครื่องแกงมาใส่หม้อให้หมด
5.เติมน้ำที่เหลือลงในหม้อต้มให้เดือด
6.ใส่เครื่องเทศที่ปั่นละเอียดลงในหม้อ ต้มให้เดือด 15 นาทีปรุงรสด้วยเกลือป่นและน้ำปลาตามใจชอบ

ป.ล.สูตรนี้จะรสจัดจ้าน เข้มข้น ไม่ใส่ผงชูรส ไม่ใส่น้ำตาล ใช้ปลานิลหรือปลาช่อน แทนได้ค่ะ วันนี้ลองใช้เนื้อปลาแพนกาเซียสดอรี เพราะเนื้อนิ่ม ยีได้สะดวกสำหรับคนปวดแขน ปวดหลังค่ะ สูตรนี้น่าจะช่วยล้างไขมันในเส้นเลือด และ แก้ลม แก้ไข้ แก้ปวดเมื่อย ได้เลยนะคะเนี่ย เพราะกินแล้วเลือดลมร้อนหลายระดับจากสมุนไพรหลายตัว  เวลาทำใส่น้ำพริกแกงครึ่งสูตรก่อนก็ได้ค่ะ แล้วค่อยมาเติมเพิ่มตอนน้ำเดือดครั้งแรก ว่าชอบเข้มข้น เผ็ดจัดแค่ไหน เวลากิน เพิ่มไข่ต้ม และ บีบน้ำมะนาวไปอีกนิด ถ้าชอบมีรสเปรี้ยว แค่นี้ก็อร่อย และสุขภาพดีได้ไม่ยากค่ะ

ขอขอบคุณสูตรโดยคุณThanyarat Bhalakula

ขนมผักกาด



ส่วนประกอบของขนมผักกาด
1.ใช้หัวไชเถ้าขูดผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน แป้งข้าวเหนียวแป้งทุกอย่างใช้อย่างละถ้วยเท่าๆ กันค่ะ
2.เกลือ น้ำตาลทรายไชเถ้าขูดต้องขยำเกลือให้หายขื่นแล้วเอาขึ้นให้สะเด็ดน้ำ
3.ผสมแป้งสามอย่างให้เข้ากันดี ใช้น้ำสะอาด 1 ถ้วยค่ะ ตั้งน้ำลังถึงให้เดือดเอาน้ำมันทาพิมพ์ไม่ให้ขนมติด บีใช้พิมพ์แบบถอดได้ค่ะ
4.พอน้ำเดือดดีผสมไชเถ้าลงไปใส่เกลือใส่น้ำตาลในแป้ง เอาพิมพ์ใส่ลังถึงแล้วเทส่วนผสมลงไปโรยหน้าด้วยเห็ดหอมแช่น้ำหั่น กุ้งแห้งที่แช่น้ำไว้เช่นกัน แล้วเอากระเทียมเจียวพร้อมน้ำมันเจียวโรยลงไป นึ่งไฟแรง30นาที เอาออกมาถอดพิมพ์ เอาขนมใส่ถาดตากลมไว้ทั้งสองด้านจนแห้งตึง เตรียมไว้ทอดค่ะยังไม่รับทานใส่ตู้เย็นไว้ได้นะคะ ที่จริงการทำได้โพสต์ลงไปอีกอันนึงแล้วค่ะ

วิธีทำขนมผักกาด
จากที่เมื่อวานนึ่งเอาไว้ กลางวันนี้ก็เลยผัดขนมผักกาดให้ที่บ้านทานกันค่ะ  เอาขนมผักกาดที่นึ่งไว้ ออกมาตัดเป็นชิ้นพอคำนำไปทอดในน้ำมันให้กรอบนอก นุ่มใน ทอดจนหมดเลย แล้วค่อยผัดทีละจานค่ะ เวลาผัดก็ใส่ขนมผักกาดที่ทอดไว้ลงไปก่อน ใส่ไข่ไก่ 1 ฟอง เอาขนมผักกาดกลบไข่ไว้ให้สุกรอให้เกรียมๆ นิดๆ ใส่ถั่วงอก ใส่กุยช่ายลงไป ผัดไปใส่ ซีอิ้วดำหวาน น้ำตาลปลายช้อนชา ซีอิ้วขาว ผัดให้ทั่วพอผักสลบ ตักใส่จาน โรยพริกไทยป่น รับทานกับซีอิ้วดำหวาน ซ๊อสพริก หรือจะใส่พริกดองแบบคุณแม่บีก็ได้ คือปรุงตามชอบเลยค่ะ ชอบเผ็ดใส่พริกป่นนะคะ

ขอขอบคุณสูตรโดยคุณ Seaangel Nicky

สับปะรดต้มซี่โครงหมูอ่อน



ลูกสาวบอกอยากกินต้มสัปปะรด ไม่ได้ทำให้กินนานแล้วทำก็ทำงั้นไปซื้อของกัน ซื้อสัปปะรดมา 2 ลูก ปอกให้ด้วย แล้วก็ผักชี 1 กำเสร็จแล้วไปทำกันเลย เครื่องที่เหลือมีในตู้เย็นแล้วค่ะ

ส่วนประกอบของสับปะรดต้มซี่โครงหมูอ่อน
1.สับปะรด หั่นพอคำ
2.ซี่โครงหมูอ่อน
3.พริกไทยขาว กระเทียม รากผักชี กุ้งแห้ง โขลกพอแหลก
4.ต้มน้ำให้เดือดใส่เครื่องแกงโขลกลงไป เกลือ 1 ช้อนชา
5.ใส่สัปปะรดกับกระดูกหมูเคี้ยวไฟอ่อนๆ (เดี๋ยวน้ำแกงจะขุ่น)
6.เคี้ยวต่อไปสัก 20 นาที กระดูกหมูจะเปื่อย น้ำแกงก็เข้าเนื้อสับปะรดพอดี
7.ปรุงรสน้ำตาลปีบ รสดี ชิมรสให้ได้หวานนำนิดนึ่ง เค็มพอดี ร้อนพริกไทย (ไม่ใช้น้ำปลาค่ะเพรามันคาว)
รอให้เดือดอีกครั้งดับไฟตักใส่ชามตั้งโต๊ะเลย

สับปะรดกับการลดนํ้าหนัก
สับปะรดมีวิตามินซีที่สามารถ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ช่วยในการย่อยอาหาร ลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง สับปะรด เป็นผลไม้ที่หารับประทานได้ง่ายในบ้านเราตลอดทั้งปี ราคาไม่แพง มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ประโยชน์สัปปะรดมีดังนี้

1.ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง กินสับปะรดวันละหนึ่งชิ้น ร่างกายได้รับวิตามินซีที่ในการทำงานของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อ ช่วยต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ การกินสับปะรดวันละหนึ่งชิ้น จึงเป็นการเพิ่มแรงต้านโรคให้แก่ร่างกาย แต่ในผู้ที่มีเลือดจางไม่ควรกินมากเกินไป

2.ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี สับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส ที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ ที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ อัมพาต นอกจากนี้สารแอนตี้ออกซิแดนต์ ยังมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย

3.ช่วยในการย่อยอาหาร สับปะรดมีกากใยอาหารมาก ที่มีความสำคัญกับการย่อยอาหาร และเป็นที่รู้กันอยู่ว่ากากใยอาหารช่วยลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือด และยังช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง

4.ช่วยป้องกันโรคต่างๆ การรับประทานผักและผลไม้ให้ได้วันละ 5 กำมือ จะช่วยลดความเสียงโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมะเร็ง ได้ถึง 20% เชียวนะ

5.ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านม เพราะสับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง และเอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์ผิดปกติในปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ป้องกันมะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่

6.ช่วยยับยั้งการอักเสบ เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดช่วยยับยั้งการอักเสบ ซึ่งชาวอเมริกาใต้โบราณ ใช้สับปะรดเป็นยารักษาโรคผิวหนังและรักษาบาดแผลที่ได้ผลดี

7.ช่วยให้เหงือกแข็งแรง สับปะรดช่วยให้สุขภาพในช่องปากแข็งแรง เนื่องจากสับปะรดมีวิตามินซีสูง ที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคเหงือกได้

*แม้ว่าสับปะรดจะมีประโยชน์มาก แต่ก็ควรกินแต่พอควร เช่น วันละหนึ่งชิ้น และกินผลไม้อื่น ๆ ผสมผสานกันด้วย เพราะการกินอะไรที่มากไปก็ย่อมให้ผลเสียอยู่ดี

ขอขอบคุณสูตรโดยคุณต้มยำทำครัว เพียงลำพัง

เห็นไหมครับการทำอาหารนั้นไม่ยากอย่างที่คิดอย่างไงผมของของสูตรสูตรอาหาร ของทั้งสามท่านด้วยครับ เพื่อนๆ ท่านใดอยากเป็นส่วนหนึ่งของเราเชิญได้ที่ห้อง "รวมพลคนเข้าครัว" หรือแฟนเพจรวมพลคนเข้าครัวได้ครับ เรายินดีต้อนรับคุณเสมอ